
"สนพ." ชี้ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้ไฟพุ่งเท่าตัว รัฐบาลเร่งปรับแผน PDP ต้องมีไฟฟ้ามั่นคง สะอาด ราคาเป้นธรรม รองรับการเติบโตหนุนดันไทยฮับดิจิทัลยั่งยืน
“ซีเมนส์” ร่วมกับ “กรุงเทพธุรกิจ” จัดงาน “Siemens Data Center Conference 2025 : Redefining Data Center Infrastructure” เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับเทรนด์การใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ในอนาคตโดยผู้ร่วมรับฟังสัมมนายังได้รับชมการสาธิตแนวทางออกแบบและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซนเตอร์ให้ทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด อาทิ Liquid Cooling สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, Skid Solutions เร่งการติดตั้งแบบยั่งยืน, ระบบป้องกันอัคคีภัยที่มีแม่นยำสูงด้วยเซนเซอร์ตรวจจับควันแบบสุ่มอากาศชนิด Dual Wavelength, การออกแบบที่ใช้โมดูลาร์: ระบบจ่ายพลังงานที่สามารถปรับขยายได้ เป็นต้น
นายสาร์รัฐ ประกอบชาติ รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวในหัวข้อ Empowering Sustainable Data Centre Growth through Thailand’s Clean Energy Policy ว่า ความต้องการใช้พลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์มีความสำคัญมาก โดยปี 2024 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกใช้ไฟฟ้าประมาณ 415 TWh คิดเป็น 1.5% ของการใช้พลังงานโลก โดยปี 2030 คาดว่าการใช้ดาต้าเซ็นเตอร์จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวประมาณ 945 TWh คิดเป็น 3% ของการใช้พลังงานทั้งโลก ถือเป็นความต้องการใช้ที่มีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ดำเนินธุรกิจจะต้องมองและเตรียมการสำหรับการจัดหาพลังงานที่จะมารองรับจะต้องคำนึงถึงการที่มีพลังงานที่มั่นคงและสะอาดควบคู่กันเพื่อความยั่งยืนแล้ว อีกประเด็นที่คำนึงคือ เมื่อเกิดความต้องการสูงขึ้นก็อาจมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม โดย IEA ได้มีการคาดการณ์ตังเลขว่า หากบริหารจัดการไม่ดี การใช้พลังงานสูงอาจปล่อยคาร์บอนของศูนย์ข้อมูลสูงถึง 450 ล้านตันคาร์บอนในปี 2027 หรือคิดเป็น 1.2% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก และเมื่อเทียบไทยทั้งปีปล่อยคาร์บอนถึง 240 ล้านตัน ถืว่าสูงกว่าที่ไทยปลอ่ย 2 เท่า ต้องพิจารณาพลังงานสะอาดควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายสร้างธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ให้เป็นธุรกิจอนาคต จากข้อมูลวิจัยกรุงศรี ในปี 2568-2570 รายได้รวมของอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย คาดว่าจะเติบโตระดับสูงเฉลี่ย 7.5-8.5% ต่อปี จากการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีการเติบโตต่อเนื่อง เป็นสัญญาณที่ภาครัฐต้องซัพพลายพลังงานให้เพียงพอ “อีกส่วนที่ทำให้ธุรกิจมีการเติบโตได้ เชื่อว่ามาจากมาตรการภาครัฐ เช่น การส่งเสริมลงทุนจาก BOI ที่เป็นมาตรการสำคัญสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่ปัจจุบันมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับธุรกิจทิศทางประเทศมากขึ้น”
ดังนั้น กระทรวงพลังงานและหน่วยงานภาครัฐได้เตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความมั่นใจ จึงได้มีการปรับแผน PDP โดยเน้น 3 เรื่องสำคัญ คือ 1. ความมั่นคงของพลังงาน 2. การสะท้อนต้นทุนที่ราคาแข่งขันได้ และ 3. ไฟฟ้าที่จัดหามาต้องสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีการตั้งเป้าหมายที่เป็นไฮไลต์สำคัญในแผน PDP ฉบับใหม่ออกเป็นดังนี้
1. ด้านความมั่นคง ผ่านเกณฑ์ดัชนีโอกาสเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation) เพื่อให้ไทยมีไฟฟ้าใช้ตลอดเวลา
2.ด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใหม่ ปี 2580 ไม่น้อยกว่า 50% ลดการปล่อยคาร์บอนในภาคผลิตไฟฟ้า 30-40% เทียบเท่าปีฐาน
3. ด้านราคา ราคาขายปลีกตลอดแผนค่าไฟจะไม่ให้เกิน 4 บาทต่อหน่วย
4. รองรับการเติบโตเศรษฐกิจเฉลี่ย 2.99% ในช่วงปี 2568-2580
5. ส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ โดยกำหนดเป้าหมายในการใช้ ไฮโดรเจน 5% ตั้งแต่ปี 2573 เป็นต้นไป พร้อมกำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR (Small Modular Reactor) ตามเป้าหมาย 600 เมกะวัตต์ ในปี 2580 รวมถึงพิจารณามาตรการ Demand Response ตามแผน Smart Grid และ Peak Reduction รวม 2,000 เมกะวัตต์
นอกเหนือจากแผน PDP แล้วรัฐบาลยังสนับสนุนการขับเคลื่อนดาต้าเซ็นเตอร์ คือ
1. ส่งเสริมนโยบายสมาร์ทกริดของประเทศทั้งระยะกลางและระยะยาวเพื่อจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าที่ยืดหยุ่น รองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เชื่อมั่นว่าการผลิตไฟฟ้าจาก RE ที่มีปริมาณที่สูงขึ้น การผลิตจะยังมีความมั่นคงมากพอเพียง
2. จัดทำนโยบายการจัดหาไฟสะอาด โดย 3 การไฟฟ้า จากนโยบายนำเอาอัตราค่าไฟฟ้าสีเขียว UGT มาให้บริการ เพื่อที่ผู้ประกอบการที่มีความต้องการซื้อไฟสีเขียวจากภาครัฐ ซึ่งดำเนินการไปแล้ว และอยู่ระหว่างเตรียมประกาศราคา UGT2 เพื่อบริการพลังงานสีเขียว 100%
3. Direct PPA โดยเป็นโครงการนำร่องเพื่อเอื้อให้เกิดการยืดหยุ่น ที่ได้กำหนดเป้าหมาย 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างประเมิณความปลอดภัย เหล่านี้จะเน้นให้บริการกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์เป็นหลัก ขับเคลื่อนธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ควบคู่ไปกับแผน PDP เพื่อให้พลังงานในปรเทศไทยเกิดความมั่นคง และการจัดหาได้เพียงพอ
ดังนั้นการจะขับเคลื่อนนโยบายให้สำเร็จจะต้องมีองค์ประกอบหลายส่วนควบคู่โดยภาครัฐต้องกำหนดนโบบายกำกับดูแลให้สอดคล้องคามต้องการภาคธุรกิจและผู้ใช้ไฟไม่เป็นภาระหรือข้อติดขัดต่อการดำเนินธุรกิจต้องมีความโปรงใสปฏิบัติได้จริงส่วนเอกชนต้องดำเนินการภายใต้กติกาที่กำหนดหากจะสร้างธุรกิจให้ยั่งยืนดังนั้น ดาต้าเซ็นเตอร์จะใช้พลังงานสูงเฉลี่ย100-200เมกะวัตต์ต่อโรงงานจึงต้องใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และสุดท้ายเชื่อว่าความสำเร็จต้องร่วมมือทั้งในประเทศและหน่วยงานต่างประเทศเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้เพื่อการเติบโตในอนาคตจะเป็นปัจจัยสนับสนุนดาต้าเซ็นเตอร์ให้เติบโตเกิดความยั่งยืนในประเทศ
“ในสถานการณ์ที่ประเทศปัจจุบันที่อาจยังเห็นภาพความไม่แน่นอนทั้งไทยและทั่วโลก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือไทยตัดสินใจพัฒนาธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นเป้าหมายของธุรกิจในอนาคต ที่ได้มีการเตรียมการมาแล้วระดับหนึ่ง และจะดำเนินการต่อเพื่อให้ตอบโจทย์ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ต่อไป”