
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ในเร็วๆ นี้คาดว่าจะมีข่าวดีเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มปรับลดลงจากอัตราปัจจุบันงวด (พ.ค.-ส.ค. 68) ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นผลจากราคาเชื้อเพลิงอ่อนแอลง ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ภาระหนี้ที่ กฟผ. รับภาระเชื้อเพลิงให้ประชาชนทยอยลดลงมาอยู่ที่ราว 71,000 ล้านบาท
“กฟผ. เป็นหน่วยงานผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงของประเทศ ดูแลค่าไฟฟ้าของประชาชน ควบคู่ไปกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หาก กฟผ. ไม่เข้าช่วยแบกรับภาระในช่วงราคาเชื้อเพลิงราคาสูง ค่าไฟจะทะลุหน่วยละ 7-8 บาท ขณะเดียวกัน กฟผ. ยังมีภาระหน้าที่ในการนำเงินส่งรัฐ เพื่อนำเงินไปพัฒนาประเทศ โดย ณ สิ้นเดือนมี.ค. 68 นำส่งรายได้เข้ารัฐ 26,349 ล้านบาท ทั้งๆ ที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าในตลาดเพียง 29% เท่านั้น”
นายเทพรัตน์ กล่าวต่อว่า หาก กฟผ. สามารถสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มมีปริมาณกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มได้ เชื่อว่าจะสร้างประโยชน์ให้กับรัฐและประชาชนอีกมาก เพราะในช่วงจากนี้ไปความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดด จากการเข้ามาลงทุนของกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ราว 20 ราย ซึ่งต้องการใช้ไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ โดยนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนนั้นได้ย้ำว่า ระบบไฟฟ้าต้องมั่นคง ห้ามไฟตก-ไฟดับ หากเกิดปัญหาขัดข้อง จะเกิดความเสียหายมาก โดยเรื่องความมั่นคงของระบบไฟฟ้านั้น 3 การไฟฟ้า ได้หารือร่วมกันและได้แจ้งข้อมูลไปยังสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงความเป็นห่วงการลงทุนในอีอีซี โดยต้องการให้กระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่ และเม็ดเงินลงทุนในพื้นที่ใหม่ด้วย