หน้าแรก
จับชีพจรทิศทางพลังงานหมุนเวียนในปี 2568
หลายคนดูจะวิตกกับนโยบายกลับหลังหันของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ประกาศจะเพิ่มการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และยกเลิกการอุดหนุนพลังงานสีเขียว
ประเด็นนี้ อธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนเพาเวอร์ จำกัด มองว่า นโยบายของผู้นำสหรัฐอเมริกาคนใหม่ที่ไม่สนับสนุน Inflation Reduction Act หรือ IRA คงไม่ถึงกับทำให้การพัฒนานวัตกรรมลดคาร์บอนไดออกไซด์หยุดชะงักลงไป แต่อาจกระทบเล็กน้อย
เพราะนโยบายของผู้นำสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 10% ทำให้สินค้าจำพวกแผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ และยานยนต์ไฟฟ้า ต้องมองหาตลาดใหม่มาทดแทนรวมถึงประเทศไทย ทำให้คนไทยมีโอกาสใช้ยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ราคาถูกลง
โดยภาพรวมทิศทางพลังงานหมุนเวียนโลกตั้งแต่ปี 2568 ยังเติบโตต่อเนื่องเทรนด์พลังงานสะอาดระยะสั้นทั้งแสงอาทิตย์ หรือโซลาร์เซลล์ จะมีปริมาณเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 100% ในปี 2573 ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมบนบกเริ่มคุ้มทุนมากขึ้นจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ Low Speed Wind ทำให้ไทยมีโอกาสผลิตไฟฟ้าจากลมมากขึ้น
เทรนด์พลังงานสะอาดระยะกลาง ตั้งแต่ปี 2573-83 จะเป็นเทคโนโลยี Energy Storage ทำให้พลังงานหมุนเวียนจากแสงอาทิตย์และลมมั่นคงมากขึ้น จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปี 2583 นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานใต้พิภพ หรือ Geo Thermal Energy ที่นำมาใช้ได้จริง ขณะนี้กำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่ทนความร้อนและขุดลึกมากกว่า 3 กิโลเมตร คาดว่าภายในปี 2573 จะนำพลังงานใต้พิภพออกมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ จะกลายเป็นพลังงานทดแทนโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ
ซึ่งอดีตไทยเคยผลิตพลังงานใต้พิภพอำเภอฝาง จ.เชียงใหม่ แต่ไม่มีศักยภาพ เพราะขนาดเล็ก ความร้อนไม่พอ แต่เมื่อเทรนด์พลังงานสะอาดมองเห็นโอกาสใช้ได้จริง ไทยน่าจะศึกษาและสำรวจใหม่ ซึ่งในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทย หรือพีดีพี ไม่ได้บรรจุเรื่องนี้เอาไว้
อธิปทิ้งท้ายว่า อีกเทรนด์พลังงานสะอาดระยะยาว คือ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟิวชั่น หรือ “ดวงอาทิตย์เทียม” โดยโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactor : SMR มีประเด็นต้องสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องความปลอดภัย ผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นเรื่องท้าทายของประเทศไทย
“พลังงานใต้พิภพ” และ “ดวงอาทิตย์เทียม” จะเปลี่ยนเกมโลกและไทยหรือไม่ รอติดตาม!!
